แสนสิริ กับ 18 ปี
แห่งการสร้างรากฐานที่ยั่งยืน
เพื่ออนาคตของเด็กทุกคน

SansiriSocialChange ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แสนสิริไม่ได้เพียงแค่สร้างบ้าน แต่เรายังมุ่งมั่นในการสร้างรากฐานสังคมอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการต่างๆ ร่วมกับพันธมิตร พร้อมส่งต่อโอกาสในด้านต่างๆ ทั้งสุขภาพ การศึกษา กีฬา และคุณภาพชีวิต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างอนาคตที่ดีให้กับ “เด็กทุกคน” 

กว่า 18 ปีที่ผ่านมา แสนสิริ ยืนหยัดและผลักดันในประเด็นของสิทธิเด็ก การยุติการใช้ความรุนแรง และการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงการส่งเสริมพัฒนาการและจุดประกายความฝันทางด้านการศึกษาและกีฬาให้กับเด็กที่ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสิ่งเหล่านี้ มาอย่างต่อเนื่อง 

“สิทธิของเด็ก คือสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราควร ปกป้อง ดูแล และสนับสนุน” 

แสนสิริได้ร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย สร้างสรรค์โครงการต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมเด็กในทุกด้าน เพื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด 4 ภารกิจความรับผิดชอบ ดังนี้ 

 Good Workplace: ส่งเสริมและสนับสนุนการคุ้มครองเด็ก โดยเริ่มจากภายในองค์กร

Good Space: พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในสถานที่ก่อสร้าง  

Good Community: ส่งเสริมและสานฝันพร้อมผลักดันเด็กๆ สู่ความสำเร็จ 

 Good Global Citizen: ส่งต่อความช่วยเหลือ เพื่อชีวิตที่ดีของเด็กทั่วโลก

จวบจนวันนี้ แสนสริก็ยังคงมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีและมีคุณภาพ โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนของ “คุณ” ทุกคนค่ะ   

ปี 2549 

SANSIRI ACADEMY

จุดเริ่มต้นของการส่งเสริมโอกาสทางด้านกีฬา

“Sansiri Academy” เป็นโครงการเสริมสร้างทักษะการเล่นฟุตบอลเบื้องต้นที่ถูกต้องให้แก่เด็กอายุระหว่าง 6 – 13 ปี ทุกเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 – 10.00 น. โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายและไม่จำเป็นต้องเป็นลูกบ้านหรือลูกหลานพนักงาน 

โดยมีเป้าหมายหลักในการมุ่งเน้นส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน

ผ่านการเล่นกีฬาที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งในด้านร่างกายและสุขภาพ ไหวพริบและอารมณ์ และทักษะทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเป็นทีม การมีน้ำใจนักกีฬา และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม

ปัจจุบัน Sansiri Academy มีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ 

 รามอินทรา : สนามฟุตบอลโรงเรียนโสมาภาพัฒนา

 นนทบุรี : สนามกีฬากลางจังหวัดนนทบุรี

 ภูเก็ต : สนามฟุตบอลหน้าที่ว่าการอำเภอกะทู้

รายละเอียดเพิ่มเติม:  https://www.facebook.com/SansiriAcademyOfficial/

ลงทะเบียนได้ที่: https://siri.ly/ncyfk3B

ปี 2553

IODINE PLEASE 

ผลักดันการแก้ปัญหาภาวะขาดสารไอโอดีนในเด็ก 

แสนสิริ ร่วมมือกับ ยูนิเซฟ จัดแคมเปญ “IODINE PLEASE” เพื่อสร้างความตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหาของโรคขาดสารไอโอดีน (Iodine Deficiency Disorder: IDD) ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก โดยแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จจนสามารถผลักดันให้มีกฎหมายที่กำหนดให้มีการเติมสารไอโอดีนในเกลือที่นำมาบริโภค (ประกาศใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2554)

ปี 2554

SANSIRI SOCIAL CHANGE

แสนสิริ เป็นองค์กรเอกชนรายแรกที่ร่วมลงนามอย่างเป็นทางการกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ในการแสดงเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือเด็กอย่างยั่งยืน 

 The End of Child Labour

ร่วมผลักดันสิทธิในการปกป้อง คุ้มครองเด็ก ด้วยการประกาศเจตนารมณ์ “ยุติการใช้แรงงานเด็ก” และขยายขอบเขตสู่การขับเคลื่อนให้คู่ค้าในการก่อสร้างร่วมลงนามด้วย รวมถึงผลักดันโครงการ “The Good Space” พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในพื้นที่ที่พักคนงานก่อสร้าง

 Breastfeeding Room

มีห้องสำหรับให้นมบุตรที่ถูกสุขอนามัยภายในสํานักงานของแสนสิริ เป็นการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก

 Education for All

โครงการการศึกษาเพื่อปวงชน ในความร่วมมือของแสนสิริและยูนิเซฟ ได้จัดให้มีการเดินทางไปศึกษาปัญหาเชิงลึกที่มีผลกระทบต่อการศึกษาในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษาของเด็กชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้แจ้งเกิด เพื่อส่งเสริมให้เด็กในทุกระดับมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน

ปี 2555 

 The Good Space 

โครงการ “พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” ในพื้นที่ที่พักคนงานก่อสร้าง ด้วยความร่วมมือจากยูนิเซฟและพันธมิตร เพื่อให้เด็กๆ ในพื้นที่นี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ได้รับการศึกษา และการบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง

 Let’s Play Together 

แสนสิ ริร่วมกับองค์การยูนิเซฟ จัดโครงการ “เล่นด้วยกัน ปันให้น้อง”  เพื่อสร้างความตระหนักและสนับสนุนสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาของเด็กในพื้นที่ห่างไกล โดยมีการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาแก่เด็กที่ห้องเรียนบ้านห้วยฮุง ห้องเรียนบ้านห้วยฟาน จังหวัดแม่ฮ่องสอน และโรงเรียนบ้านห้วยจะค่าน ตชด. อนุสรณ์ จังหวัดเชียงใหม่

ปี 2556 

 GIVE – Phuket 

แสนสิริร่วมกับจังหวัดภูเก็ต จัดแคมเปญสร้างคณะเยาวชนคุณภาพให้มีบทบาทในการบริหารจังหวัด ภายใต้โครงการ “GIVE” เพื่อสนับสนุนเสียงของเด็กและเยาวชน โดยมีการอบรมภาคทฤษฎีและภาคสนามโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงมีการจัด “เวทีสมัชชาเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต” เพื่อคัดเลือกเยาวชนจากการอบรม 30 คน แต่งตั้งเป็น “คณะทำงานเยาวชนของผู้ว่าราชการจังหวัด” รวมถึงได้โอกาสในการเข้าร่วมทำงานจริงจังกับภาคจังหวัดครั้งแรกในประเทศ 

ปี 2556 –  2557

Good Global Citizen
ก้าวสู่เวทีระดับโลกเพื่อนำเสนอประเด็นด้านสิทธิเด็ก เช่น แคมเปญ The Good Space และ Iodine Please 

ได้รับเลือกจากองค์การสหประชาชาติ (UN) เข้าร่วมปราศรัยในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของเด็กอีกหลายครั้ง

ปี 2558

The Best Start Thailand 

“เพราะหกปีแรกของชีวิต คือหกปีทองของเด็ก” 

แสนสิริและยูนิเซฟ ได้ร่วมกันศึกษาผลวิจัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัย ผ่านการลงพื้นที่ศึกษาประเด็นต่างๆ วิเคราะห์สถานการณ์และทำให้เข้าใจถึงปัญหาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2558 ก็ได้เปิดตัวโครงการ “Best Start” เพื่อส่งเสริมให้ตระหนักถึงความสําคัญของการลงทุนด้านการพัฒนาเด็กเล็ก เพราะการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในช่วง 6 ปีแรกของชีวิตคือช่วงที่สําคัญที่สุด พร้อมหนุนภาครัฐฯ ให้เข้ามาแก้ปัญหา รวมทั้งรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนจนสามารถต่อยอดโครงการได้สำเร็จ

ปี 2559 

The Right to Vaccination 

แสนสิริ กระทรวงสาธารณสุข และองค์การยูนิเซฟ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดำเนินการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค สำหรับเด็กๆ ในที่พักของสถานก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างของแสนสิริ โดยมีองค์การอนามัยโลกร่วมเป็นสักขีพยาน 

ปี 2560 

แสนสิริประกาศเจตนารมณ์องค์กรที่เป็นมิตรกับเด็กในกิจกรรมการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมสิทธิเด็ก พร้อมช่วยสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในงาน “The Children Sustainability Forum: Business Action for Children towards SDGs” ซึ่งจัดโดยองค์การยูนิเซฟร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  

ปี 2561 

Sponsor Project Incubator Siri Ventures with UNICEF 

แสนสิริ ร่วมสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้เป็นสปอนต์เซอร์ให้กับยูนิเซฟในการดำเนินงาน เช่น การประกวดร่วมกับไมโครซอฟต์ และ Nectec 

Baan Santhammada (Sansiri for UNICEF) 

“บ้านแสนธรรมดา” เป็นแคมเปญระดมทุนออนไลน์จากแสนสิริเพื่อองค์การยูนิเซฟ พร้อมส่งต่อโอกาสสร้างชีวิตที่แสนพิเศษให้กับเด็กด้อยโอกาสในประเทศไทย โดยเงินสมทบทุนในโครงการนี้ได้นำไปช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กๆ ดีขึ้นทั้งในด้านการศึกษา การยุติความรุนแรง ความปลอดภัย และสุขภาพ

UNICEF’S First Selected Partner in Thailand 

แสนสิริเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ได้รับเลือกจากยูนิเซฟ ให้เป็น “UNICEF’s First Selected Partner in Thailand” จากการเป็นองค์กรที่มีเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือเด็กอย่างจริงจังและสนับสนุนงานของยูนิเซฟมาตลอด   

นับเป็นพันธมิตรแรกขององค์การยูนิเซฟในประเทศไทยที่มีรายชื่ออยู่บนเว็บไซต์สากลของยูนิเซฟ เคียงคู่กับ 20 องค์กรชั้นนำระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล 

ปี 2562

UNICEF NEXTGEN THAILAND 

สนับสนุนโครงการ “UNICEF NEXTGEN THAILAND” ที่ริเริ่มโดยองค์การยูนิเซฟ โดยเป็นโครงการที่ระดมพลังของเหล่าผู้นำคนรุ่นใหม่เพื่อสนับสนุนการทำงานของยูนิเซฟ ในการร่วมเปลี่ยนแปลงชีวิตและสร้างความตระหนักถึงปัญหาของเด็กๆ ในสังคม ผ่านการสร้างสรรค์และทำกิจกรรมเพื่อเด็กและเยาวชน

Sansiri The Art of Joy 

แสนสิริ จัดงานประมูลภาพวาดศิลปะ “The Art Of Joy” เพื่อองค์การยูนิเซฟ โดยมีการประมูลผลงานศิลปะมาสเตอร์พีซของ ซาร่า คอริเน็น (Sarah Corynen) นักออกแบบลวดลายพื้นผิวและ Illustrator ชื่อดัง ที่ SIRI HOUSE โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายได้มอบให้กับองค์การยูนิเซฟ 

ปี 2563 

SIRI HERO 

แสนสิริร่วมกับยูนิเซฟ สานต่อประเด็นสิทธิเด็ก 

จากการยุติการใช้แรงงานเด็ก…สู่การรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก 

เริ่มจากการสร้างความเข้าใจให้แก่พนักงานในองค์กร ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยความมุ่งหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือเด็กๆ ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงและความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นเชิงโครงสร้างทางสังคมหรือการใช้กำลังและวาจารุนแรงซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจ 

 การช่วยเหลือเด็กอย่างไร้พรมแดน 

นับจากปี พ.ศ. 2554 จนถึง พ.ศ. 2563 นี้ แสนสิริได้บริจาคเงินเป็นจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 325 ล้านบาท ให้กับกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินขององค์การยูนิเซฟ “UNICEF’s Global Emergency Fund” ทำให้ยูนิเซฟสามารถเข้าช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทุกทั่วมุมโลกได้อย่างทันท่วงที 

สิ่งนี้ทำให้แสนสิริมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมการทำงานของยูนิเซฟอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมชมระบบการจัดการความช่วยเหลือเด็กขององค์การยูนิเซฟในต่างประเทศ และระบบการจัดการช่วยเหลือเด็กผู้ลี้ภัยที่ประเทศเลบานอนอีกด้วย 

ปี 2564 

NO ONE LEFT BEHIND

แสนสิริไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

 “ต้องไม่มีใครถูกลืมและทิ้งไว้ข้างหลัง” คือเป้าหมายแรกที่ทำให้เราริเริ่มโครงการ “No One Left Behind” ขึ้นมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ที่สร้างความทุกข์ยากให้กับผู้คนในสังคมเป็นวงกว้าง ทั้งพนักงานในบริษัท ลูกบ้าน พาร์ทเนอร์ ไปจนถึงผู้คนที่ใช้ชีวิตร่วมอยู่ในสังคมอีกมากมาย 

เรามุ่งหวังที่จะสร้างสังคมที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อที่ทุกคนจะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความปลอดภัยในชีวิต เราจึงตั้งเป้าหมายของโครงการไว้ที่ชีวิตของทุกคนและกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทุกระดับ ตั้งแต่กลุ่มมูลนิธิที่ต้องการความช่วยเหลือ กลุ่มผู้ขาดแคลนโอกาส แรงงานต่างชาติ กลุ่มเยาวชน กลุ่มเกษตรกร ช้างไทย และล่าสุดในสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ทางภาคเหนือ  

แสนสิริ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือหลายมิติ ตั้งแต่การบริจาคเงินสนับสนุน การจัดหาวัคซีน การจัดหาอาหารและสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ ไปจนถึงการร่วมลงพื้นที่ช่วยเหลือในช่วงเวลาที่สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ เพื่อให้ทุกคนก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากไปด้วยกัน เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง  

ปี 2565 

Zero Dropout 

เด็กทุกคนต้องได้เรียน 

ในปี พ.ศ. 2565 มีเด็กเสี่ยงหลุดระบบการศึกษามากถึงประมาณ 2 ล้านคน ด้วยหลายปัจจัยอย่าง ครอบครัวรายได้ลดลง หลังเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เด็กบางคนต้องช่วยผู้ปกครองทำงานทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน ขาดเอกสารรับรองทำให้เรียนต่อไม่ได้ และอีกมากมาย  

โครงการ “Zero Dropout” จึงเป็นสิ่งที่แสนสิริมุ่งมั่นตั้งใจจะสร้างความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา พร้อมวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน โดยชวนคนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยการ “ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุน 100 ล้านบาท” สนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พร้อมปั้น “ราชบุรีโมเดล” เป็นจังหวัดต้นแบบ ที่จะช่วยเด็กๆ ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา 

ปัจจุบันราชบุรีโมเดลได้ถูกนำไปเป็นแบบอย่างให้กับหลายจังหวัดทั่วประเทศไทยในการติดตามและป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาตามนโยบาย “Thailand Zero Dropout  – เด็กทุกคนต้องได้เรียน” 

สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือเด็กที่แสนสิริได้ ริเริ่ม ลงมือทำ และสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน และพร้อมส่งต่อไปยังอนาคต เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมและลดการเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การศึกษา ความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิต เพื่อส่งเสริมการสร้างสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลังค่ะ 

CONTRIBUTOR

Related Articles

“แสนสิริ” เดินหน้า ZERO DROPOUT ชูโมเดลการศึกษา 1 โรงเรียน  3 รูปแบบ “เด็กทุกคนต้องได้เรียน” พัฒนาทุนมนุษย์เคลื่อนเศรษฐกิจ

“แสนสิริหวังว่าโครงการ ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน นำร่องที่จังหวัดราชบุรี จะจุดประกายให้เห็นกลไกการเปลี่ยนแปลงการศึกษา ขยายผลนำไปใช้ทั่วประเทศ” เพราะทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจ ดังนั้นการสร้าง “ความเสมอภาคทางการศึกษา” ทำให้เด็กไม่หลุดจากระบบการศึกษา เติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วม โดยบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แถวหน้าของไทย ได้ผลักดันสร้างความเสมอภาคทางการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง

ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน

ZERO DROPOUT เพราะการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสะพานสู่ความฝัน

ปัจจุบัน จังหวัดราชบุรีมีนักเรียนระดับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 127,266 คน ในจำนวนนี้เป็นนักเรียนยากจนพิเศษ อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 3,000 บาท ต่อคนต่อเดือน 3,258 คน คิดเป็น 2.56 % สาเหตุดังกล่าวทำให้ครอบครัวไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องในการไปโรงเรียนได้ จึงทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา คือมีเด็กที่หลุดระบบการศึกษาและเสี่ยงหลุดระบบการศึกษาเกิดขึ้น โจทย์ดังกล่าวทำให้แสนสิริ องค์กรในภาคเอกชนที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมเด็กและเยาวชน ร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน-แสนสิริ-นักเรียนไทย-นักเรียน

สร้างโอกาสให้น้องเรียนรู้ “วิชาชีพ วิชาชีวิต” ใน Zero Dropout

หากคุณเป็นแฟนคลับ ที่ติดตามแสนสิริเป็นประจำเสมอ น่าจะยังคงจำกันได้ดีกับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ภารกิจที่เรามุ่งมั่นให้เด็กไทยมีโอกาสได้เรียนและกลับคืนสู่ระบบการศึกษา โดยเริ่มต้นที่ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นโมเดล และจากที่เราได้ลงไปสัมผัสโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว พบว่าในหลายโรงเรียนมีทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมด้านอาชีพให้กับนักเรียนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่นั้นเป็นส่วนที่ติดกับชายแดนเมียนมาร์ จึงเป็นเหตุให้มีเด็กชาติพันธุ์มากมาย ประกอบกับครอบครัวมีฐานะยากจน ส่งผลให้เด็กบางคนไม่สามารถเรียนจบในการศึกษาภาคบังคับได้ เพราะต้องช่วยพ่อแม่รับจ้างเพื่อหาเงินมายังชีพในครอบครัว หนึ่งในกิจกรรมย่อยที่ช่วยเติมเต็มในโครงการ